
นพ.วิโรจน์ ตันติโกสุม
มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งใกล้ตัวที่รักษาหายได้
สาเหตุการเสียชีวิตของคนไทยอันดับหนึ่งก็คือ มะเร็ง และ ในบรรดามะเร็งเหล่านี้ มะเร็งลำไส้ใหญ่ ถือว่าเป็นมะเร็งอันดับต้นๆที่คร่าชีวิตคนไทย (ภาพที่1)
ภาพที่1 แสดงชนิดของมะเร็งที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตมากที่สุด

ทำไมคนที่อายุ50ปีขึ้นไป จึงควรตรวจสุขภาพด้วยการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ ทุก10ปี?
เหตุผลที่1 ผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ เกือบ 90%อายุมากกว่า50ปี
คนอายุ50ปีขึ้นไป ทุกคนเสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ จากข้อมูล American Cancer Society 2023 รายงานว่า 88%ของ ผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นกลุ่มที่มีอายุมากกว่า50ปี ข้อมูลนี้สะท้อนให้เห็นว่า กลุ่มคนที่อายุ50ปีขึ้นไป มีโอกาสเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ สูงอย่างมาก เมื่อเทียบกับ กลุ่มคนที่อายุน้อยกว่า (ภาพที่2)
ภาพที่2 แสดงสัดส่วนผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ๋จำแนกตามอายุ

ใครบ้างที่มีโอกาสเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่?
กลุ่มคนที่อายุ50ปีขึ้นไป ก็ถือว่าเป็นกลุ่มที่เสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และความเสี่ยงในกลุ่มคนเหล่านี้จะ ยิ่งสูงขึ้นไปอีก เมื่อมีปัจจัยเสี่ยงในด้านอื่นสมทบเข้าไปอีก ปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่ในด้านอื่นๆนอกจากอายุที่มากขึ้นแล้วมีดังนี้
1 เพศชาย ผู้ชายมีโอกาสเป็นมะเร็งลำไส้มากกว่า ผู้หญิง 1.5เท่า
2.ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ คือผู้ที่ ไม่ค่อยชอบออกกำลังกาย, ชอบ บริโภคเนื้อสัตว์ติดมัน, เนื้อแดง, อาหารปิ้งย่าง, เนื้อสัตว์แปรรูป ไม่ว่าจะเป็น เบคอน,ไส้กรอก,เบคอน, ไม่ชอบรับประทานผักผลไม้, มีน้ำหนักเกิน อ้วน หรือเป็นเบาหวาน, สูบบุหรี่ หรือ ดื่มเหล้า
3.มีโรคทางลำไส้ใหญ่ ที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม โดยเฉพาะ ผู้ที่มีญาติสายตรง เช่น พ่อแม่, พี่น้อง ที่เป็นโรคมะเร็งลำไส้ หรือ มีติ่งเนื้อในลำใส้ตั้งแต่อายุน้อยๆ (ภาพที่3)
ภาพที่3 แสดงปัจจัยที่เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่

เหตุผลที่2 ผู้ป่วยที่เริ่มเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ มักจะไม่มีอาการ
หลายคนที่อายุ50ปีขึ้นไป แข็งแรงดี ขับถ่ายปกติ มักจะมั่นใจว่า ตนเองไม่เป็นมะเร็งลำไส้ และมองข้ามความสำคัญของการตรวจคัดกรอง มะเร็งลำไส้ ประเด็นที่น่ากังวลก็คือว่า ผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งลำไส้ในระยะแรก มักจะไม่มีอาการ เราก็เลยจะแยกไม่ออกว่าเราไม่เป็นมะเร็งหรือเราเป็นมะเร็งระยะแรก เพราะว่า เราไม่มีอาการ ในปัจจบันผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ ส่วนใหญ่จะมาพบแพทย์ เมื่อมีอาการผิดปกติ ซึ่งก็จะเป็นระยะที่ โรคมะเร็งลำไส้ได้เข้าสู่ระยะลุกลามแล้ว หรือ เนื้อมะเร็งมีขนาดที่ใหญ่มาก จนก่อให้เกิด อาการผิดปกติ การรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ในระยะที่ลุกลามมากแล้วจึงมีความซับซ้อน โอกาสรอดชีวิตก็จะ น้อยกว่า เมื่อเทียบกับ การรักษามะเร็งที่ยังอยู่ในระยะแรก
เหตุผลที่3 การรักษามะเร็งลำไส้ที่ยังอยู่ในระยะแรก มีโอกาสรอดชีวิตสูง
การรักษามะเร็งลำไส้ตั้งแต่มะเร็งยังอยู่ในระยะที่ไม่ลุกลาม มีโอกาสรอดชีวิตเกือบเท่ากับคนที่ไม่เป็นโรค
American cancer society ได้รายงานอัตราการรอดชีวิตที่5ปี* ของผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยผู้ป่วยมะเร็งที่เป็นระยะแรก คือ ระยะที่มะเร็งยังไม่ได้กระจายไปยังอวัยวะอื่นนอกลำไส้ มีสูงถึง 81% ซึ่งถ้าตัวเลขนี้เป็น100% ก็แสดงว่า หลังจากรักษาไปแล้ว5ปี จำนวนผู้ป่วยที่มีชีวิตรอด จะเท่ากับ คนที่ไม่ได้เป็นโรคนี้ ในทางกลับกัน ผู้ป่วยในระยะที่มะเร็งลุกลามไปที่อวัยวะอื่นแล้ว โอกาสมีชีวิตรอดที่5ปี มีเพียง18%
*อัตรารอดชีวิตที่5ปี 100% หมายถึง สัดส่วนของผู้ป่วยที่จะมีชีวิตรอด หลังการรักษาแล้ว5ปี เท่ากับคนกลุ่มอายุเดียวกันที่ไม่ได้เป็นโรคนี้
คำว่า มะเร็งระยะแรก หมายถึงอะไร? เพื่อความเข้าใจที่มากขึ้น เรามาทำความรู้จักกับกระบวนการลุกลามของมะเร็งลำไส้ใหญ่ ตั้งแต่เริ่มแรกกันนะครับ
ในคนที่มีอายุมากขึ้น หรือ คนที่มีโรคลำไส้ใหญ่ที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม กลุ่มคนเหล่านี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเซลล์ ที่เยื่อบุผนังลำไส้ โดยเซลล์เหล่านี้จะมีการเพิ่มจำนวนเร็วกว่าปกติ ทำให้ผนังลำไส้บริเวณนั้นมีการหนาตัว หรือ เกิดเป็นติ่งเนื้อ(polyp) ยื่นเข้ามาในผนังลำไส้ อายุยิ่งมากขึ้น โอกาสตรวจพบติ่งเนื้อก็จะมากขึ้น โดย 40%ของคนที่มีอายุ50ปีขึ้นไปจะตรวจพบติ่งเนื้อเหล่านี้ ถึงแม้ว่าติ่งเนื้อเหล่านี้ ไม่ได้เป็นเนื้อร้ายทั้งหมด แต่ก็จะมีติ่งเนื้อบางส่วน ไม่มาก ประมาณ5-10% ของติ่งเนื้อเหล่านี้ ที่ เป็น เซลล์มะเร็ง และติ่งเนื้อที่ไม่ได้เป็นเนื้อร้ายเหล่านี้ก็มีโอกาสกลายร่างเป็นเนื้อมะเร็งในอนาคตได้อีก ด้วย
เซลล์มะเร็งเหล่านี้เมื่อก่อกำเนิดขึ้นมา ก็จะลุกลาม ขยายขนาด เป็นก้อนมะเร็ง ซึ่งอาจจะมีรูปร่างต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นลักษณะติ่งเนื้อมีก้าน(Polyp), เป็นก้อน (Sessile) หรือ เป็นแผล(ulcer) ที่ผนังลำไส้ เมื่อเวลาผ่านไป เนื้อมะเร็งก็จะมีการลุกลามเข้าไปในผนังลำไส้ และผ่านผนังลำไส้ ออกไปยังต่อมน้ำเหลือง, หลอดเลือด และกระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ ได้แก่ ปอด, สมอง, ตับ ( ภาพที่4)
ภาพที่4 แสดงกระบวนการก่อตัวของมะเร็งที่ผนังลำไส้ใหญ่

ทำไมการส่องกล้องจึงช่วยรักษาและป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้?
ความโชคดีประการหนึ่งก็คือ มะเร็งลำไส้ใหญ่ จะมีการดำเนินโรคไปอย่างช้าๆ กว่าที่ตัวติ่งเนื้อจะกลายร่างตัวเองเป็นเนื้อร้าย และเข้าสู่ระยะลุกลาม ก็ใช้เวลาเป็น10-20ปี คล้ายกับ การดำเนินโรคของมะเร็งปากมดลูก วิธีหลักในการตรวจค้นหา ติ่งเนื้อเหล่านี้ ก็คือ วิธีการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ ทำให้ผู้ป่วย ที่เข้ามาจะรับการตรวจส่องกล้อง มีโอกาสสูงที่แพทย์จะตรวจพบติ่งเนื้อทั้งก่อนที่จะเป็นมะเร็งหรือเป็นมะเร็งแล้วแต่ยังอยู่ในระยะแรก ซึ่งแพทย์สามารถการตัดติ่งเนื้อ(Polypectomy)เหล่านี้ในขณะทำการส่องกล้องได้เลย แล้วนำติ่งเนื้อเหล่านี้มาตรวจดูลักษณะของเซลล์ ว่าเป็นเซลล์มะเร็งหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากติ่งเนื้อถูกตัดออกไปแล้ว ก็มีโอกาสที่จะเกิดติ่งเนื้อขึ้นมาใหม่อีก จึงเป็นเหตุผลที่แพทย์จะวางแผนนัดตรวจส่องกล้องลำไส้เป็นระยะ ซึ่งการนัดหมายอาจจะเร็วกว่าคนทั่วไปเช่น ทุก5ปี แทนที่จะเป็นทุก10ปี ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ที่ส่องกล้องว่า ผู้ป่วยมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งลำไส้มากน้อยแค่ไหน
ดังนั้น หัวใจสำคัญของการจัดการโรคมะเร็งลำไส้ก็คือ การค้นหาผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่ยังอยู่ในระยะแรก และรีบให้การรักษา ซึ่งเป็นแนวทางของกระทรวงสาธารณสุข ในการส่งเสริมการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งลำไส้ ในประชากรที่มีอายุ50ปีขึ้นไป ทั่วประเทศ
กล่าวโดยสรุป ผู้ป่วยที่มีอายุ50ปีขึ้นไป ควรตระหนัก ถึง ความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และให้ความสำคัญกับการตรวจคัดกรอง ได้แก่ การตรวจอุจจาระ FIT test ร่วมกับ การส่องกล้องลำไส้ใหญ่ การตรวจเหล่านี้ ก็จะช่วยให้แพทย์ตรวจพบหา ติ่งเนื้อหรือ ร่องรอยอื่นๆ ของ มะเร็งลำไส้ใหญ่ และสามารถจัดการติ่งเนื้อ ได้ทันที ก่อนที่ ติ่งเนื้อนี้จะกลายเป็น ก้อนมะเร็งลุกลามต่อไป
ศูนย์ส่องกล้องทางเดินอาหาร
รพ.ธัญบุรี ปทุมธานี
นัดหมายส่องกล้อง โทร 0909250096