Ep197 รู้แบบนี้เลิก น้ำอัดลมไปนานแล้ว

ในปัจจุบัน เครื่องดื่มที่ให้รสหวาน ไม่ว่าจะเป็น น้ำอัดลม กาแฟเย็น น้ำผลไม้ ชา กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลัง สามารถหาซื้อได้ง่าย ในร้านสะดวกซื้อ หรือ จะไปกดซื้อ ตาม ตู้จำหน่ายเครื่องดื่มอัตโนมัติ ได้ตลอด24ชั่วโมง ความสะดวกสบายนี้ ทำให้หลายคน ดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้ จนกลายเป็นพฤติกรรม เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตประจำวัน จนลืมไปว่า เครื่องดื่มเหล่านี้ คือสาเหตุอันหนึ่งของโรคร้ายแรงจำนวนมาก และ ตัวการที่ก่อปัญหาก็คือ น้ำตาล ในเครื่องดื่มเหล่านี้

ผมตั่งใจที่จะมาเขียนบทความนี้ เพื่อมาเตือน มากระตุ้น ความตระหนัก ในภัยอันตรายของน้ำตาล ในเครื่องดื่มเหล่านี้

ก่อนอื่น มารู้จัก น้ำตาล กันก่อนนะครับ

เวลาพูดถึง น้ำตาล เราก็จะ นึกถึง น้ำตาลทราย ก่อนเลย แต่ ก็มีอาหารที่เป็นอีกจำนวนมาก ที่มีน้ำตาลแฝงอยู่ จนเรามารู้ถึงปริมาณน้ำตาลในอาหารเหล่านั้น เราแทบไม่เชื่อว่า ปริมาณน้ำตาลนั้นสูงจนน่าตกใจ ก่อนอื่น มาดูกันก่อนครับว่า น้ำตาลในอาหารแบ่งออกเป็น2กลุ่ม

1 อาหารที่มีการเติมน้ำตาลเข้าไปในอาหาร เช่น เครื่องดื่มที่ให้รสหวานทั้งหลาย เช่น น้ำอัดลม, เครื่องดื่มชูกำลัง หรือ อาหารที่มีตัวน้ำตาลอยู่แล้วตามธรรมชาติ เช่น น้ำผึ้ง, น้ำเชื่อม,น้ำผลไม้ปั่น ในกลุ่มนี้ เราจะเรียกน้ำตาลกลุ่มนี้ว่า Free sugar อาหารประเภทนี้ เป็นอาหารที่มีน้ำตาลอย่างเดียว ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการอื่นๆเลย จึงเป็นอาหารที่ร่างกายไม่ต้องการ

อาหารที่มีน้ำตาลแบบ Free sugar คืออาหารต้องห้าม

2. อาหารที่มีน้ำตาลแทรกอยู่ในเนื้อของอาหาร เช่น ผัก,ผลไม้ หรือ นมสด แบบนี้ ไม่ใช่ Free sugar

น้ำตาลในอาหารทั้งสองกลุ่มนี้ ก็คือน้ำตาลเหมือนกัน แล้วแต่จะเรียกว่าเป็นน้ำตาลกลูโคส, ซูโคส, ฟรุคโตส หรือ แลดโตส แต่ความแตกต่างอยู่ตรงที่ การกินอาหารที่มีน้ำตาลในแบบแรก หรือ free sugar จะเป็นอาหารที่มีแต่น้ำตาลอย่างเดียว พลังงานที่ได้จากอาหารเหล่านี้ทั้งหมดมาจากน้ำตาล ในขณะที่อาหารที่มีน้ำตาลแบบไม่ใช้ Free sugar จะเป็นน้ำตาลที่อยู่ในเนื้ออาหาร เวลาเรากินอาหารแบบที่สอง ก็จะได้สารอาหารอื่น ได้ไฟเบอร์ที่เป็นประโยชน์ ที่อยู่ในเนื้ออาหาร เป็นหลัก ในขณะที่น้ำตาลจะได้รับเพียงเล็กน้อย ดังนั้น อาหารที่ เราต้องหลีกเลี่ยงก็คือ อาหารแบบแรก อาหารที่มีน้ำตาลในแบบFree sugar

ตัวอย่างอาหารที่แสดงถึงความแตกต่างของน้ำตาลทั้งสองแบบนี้ ก็คือ ผลไม้ มีแบบการกินผลไม้สดๆ กับ น้ำผลไม้ปั่น ทั้งสองอย่างเหมือนกัน คือกินผลไม้ ช่ไหมครับ การกินผลไม้เป็นลูก ก็คือ อาหารแบบมีน้ำตาลในแบบที่สอง คือ ไม่มีFree sugar เพราะน้ำตาลในผลไม้จะอยู่ในเนื้อผลไม้เวลาเรากินผลไม้1ผล ก็จะได้ทั้งวิตามิน แร่ธาตุ และไฟเบอร์ โดยที่เราได้รับปริมาณน้ำตาลเล็กน้อย แต่การดื่มน้ำผลไม้ปั่น ซึ่งเป็นอาหารประเภทที่มีFree sugar ในน้ำผลไม้มีแต่ น้ำตาลล้วนๆ ไม่มีสารอาหาร หรือ กากใยของผลไม้ แบบนี้เรียกว่า เรากินน้ำตาลล้วนๆเลย และ น้ำผลไม้ปั่นที่เราดื่มแต่ละครั้ง ก็มักจะใช้ผลไม้มากกว่า1ผลในการปั่นเอาน้ำออกมาในแต่ละแก้ว ทำให้เรา ได้รับน้ำตาลมากกว่า การกินผลไม้ทั้งผล หลายเท่า

สำหรับอาหารที่เราจะพูดถึงในครั้งนี้ ก็คือ เครื่องดื่มรสหวานทั้งหลาย ซึ่งความหวานในเครื่องดื่มเหล่านี้ ก็เกิดจากการเติมน้ำตาลเข้าไป จึงจัดได้ว่าเป็นอาหารที่มีแต่น้ำตาลอย่างเดียว (Free sugar )

ในปัจจุบัน องค์การอนามัยโลก WHO ก็กำหนดมาแล้วนะครับว่า คนเรา ควรกิน อาหารที่มีน้ำตาลอย่างเดียว (Free sugar) นี้ให้น้อยที่สุด เท่าที่จะทำได้ ในแต่ละวัน โดยกำหนดให้คนเรา ควรได้รับอาหารแบบมีน้ำตาลอย่างเดียวนี้ ในปริมาณที่น้อยกว่า 5% ของพลังงานที่เราควรจะได้รับในแต่ละวัน เปรียบเทียบ ก็คือ น้ำตาลไม่เกิน 25-30 กรัม ถ้าเป็นเพศหญฺิง ก็ เทียบกับปริมาณน้ำตาลทราย ไม่เกิน 6ช้อนชา และ สำหรับผู้ชาย ก็ไม่เกิน 9ช้อนชา ในแต่ละวัน เดี๋ยวเราลองมาเทียบกันนะครับว่า เครืองดื่มหวานๆที่เราดื่มกันประจำ มีน้ำตาลกี่ช้อนชากัน

ในภาพ แสดงปริมาณน้ำตาลเป็นจำนวนช้อนชา ในแต่ละประเภทของเครื่องดื่ม น่าตกใจนะครับว่า เครื่องดื่มแต่ละชนิดล้วนแล้วแต่มี มีปริมาณน้ำตาลมากกว่า 6ช้อนชา มากกว่าเกณฑ์ที่ร่างกายควรได้รับน้ำตาลแบบFree sugar ในแต่ละวัน

6 เหตุผลที่คนเรา ควรเลิกหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มเหล่านี้

1 เป็นสารเสพติดที่ ดื่มเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกอิ่ม

เครื่องดื่มหวานๆ เหล่านี้ ไม่ทำให้คุณรู้สึกอิ่ม ลองนึกภาพดูนะครับว่า คุณดื่มน้ำอัดลม1กระป๋อง ได้รับพลังงานไป 150 แคลอรี่ พลังงานจากน้ำตาลฟรุคโตสนี้ จะไม่ทำให้ คุณรู้สึกอิ่มเลย เมื่อเทียบกับพลังงานที่ได้รับจากอาหารทั่วไป ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า น้ำตาลฟรุคโตส ไม่ได้กระตุ้น ฮอร์โมนของความรู้สึกอิ่ม สิ่งที่ตามมาก็คือ คนเราก็จะสามารถกินอาหารได้มากขึ้น นอกจากนี้ ความหวาน ในเครื่องดื่ม มีผลกระตุ้นให้สมองหลั่ง สารของความสุข เช่น โดปามีน เมื่อร่างกายได้รับความสุข จากความหวานในอาหารสมอง ก็จะสั่งให้ร่างกาย สรรหา อาหารที่มี ความหวานอยู่เรื่อยจนกระทั่งกลายเป็นพฤติกรรมการกินเครื่องดื่มหวานๆในที่สุด ก็เป็นสถานการณ์เดียวกับที่คนเรา ติดบุหรี่ หรือ สารเสพติดอื่นๆ นั่นเอง

2 ทำให้เป็น ไขมันพอกตับ

น้ำตาลที่ได้จากเครื่องดื่มหวานๆ มักจะเป็นฟรุคโตส ซูโคส ซึ่งอวัยวะเดียวที่จะ เผาผลาญน้ำตาลชนิดนี้ได้ ก็คือ ตับ ซึ่งต่างจากกลูโคส ซึ่งสามารถถูกเผาผลาญโดยอวัยวะทั่วร่างกายได้ อีกทั้งปริมาณพลังงานที่มากเกินไป จากการดื่มน้ำอัดลม ตับก็จะเปลี่ยนน้ำตาลเหล่านี้ที่มากเกินความต้องการให้กลายเป็นไขมัน สะสมในตับ แน่นอนครับ สิ่งที่ตามมาก็คือ โรคไขมันพอกตับ ที่ได้ขึ้นชื่อว่า โรคตับที่ผู้คนเป็นกันมากที่สุด และความน่ากลัวของ โรคไขมันพอกตับ ก็คือ การเกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรัง เกิดตับแข็ง และ มีโอกาสที่จะเกิด มะเร็งตับ ในที่สุด

3 ทำให้เกิดภาวะอ้วนลงพุง เบาหวาน

น้ำตาลโดยเฉพาะ ฟรุคโตส ที่ได้จากเครื่องดื่มหวานๆ ก็จะกลายเป็นพลังานที่เหลือจากการใช้ ร่างกายก็จะสมสม พลังงานส่วนเกินนี้ ให้กลายเป็น พลังงานสำรอง ในรูปแบบของไขมันสะสมที่ ผนังหน้าท้อง ต้นขา และ ในช่องท้อง ซึ่ง ภาวะอ้วนลงพุง ก็จะทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงที่จะเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน และเกิด เบาหวานตามมาในที่สุด น้ำตาลที่สูงในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน สามารถทำลายหลอดเลือดได้ทั่วร่างกายตั้งแต่ตา สมอง หัวใจ ไต จนถึง หลอดเลือดที่ปลายเท้า ดังนั้น ปัญหาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ไตวาย หรือ อัมพาต หรือต้องถูกตัดเท้าในที่สุด

4 ทำให้เป็นมะเร็ง

ถึงแม้ว่า น้ำตาลจะไม่ใช่สารก่อมะเร็ง แต่ ปัจจัยที่เร่งให้คนเราเกิดมะเร็งจากการดื่มน้ำอัดลม ก็มาจาก ภาวะอ้วน จากการดื่มน้ำอัดลม ซึ่ง ภาวะอ้วนก็เป็นปัจจัยที่จะบอกว่าคนคนนั้น มีความเสี่ยงที่จะเกิดมะเร็งลำไส้,มะเร็งเต้านม, มะเร็งตับอ่อน ถึงแม้ว่า การศึกษาที่ผ่านมาจะพบว่า น้ำอัดลม ก็มีสารก่อมะเร็ง แต่ในน้ำอัดลมอาจจะสารก่อมะเร็งเหล่านี้ไม่มาก จนสามารถก่อมะเร็งได้ แต่ก็ต้องรอการศึกษาขั้นต่อไป

5 ทำให้เป็นโรคมองเสื่่อม

มีการศึกษาที่พบว่า คนที่ดื่มน้ำอัดลมวันละ1กระป๋อง มีความเสี่ยงที่จะเกิด โรคสมองเสื่อม หรือ อัมพาต มากกว่าคนที่ไม่ดื่มถึง3เท่า เหตุผลที่พอจะยกมาอธิบายได้ ก็คือ ความเชื่อมโยง ระหว่างน้ำอัดลม กับ เบาหวาน และ เบาหวาน ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ คนเราเกิดอัมพาต หรือ สมองเสื่อมได้ง่ายกว่าคนที่ไม่เป็นเบาหวาน แต่กลไกการเกิดสมองเสื่อมจากการดื่มน้ำอัดลมก็คงต้องรอการศึกษาต่อไป อย่างไรก็ตาม เราก็พอจะบอกได้ว่า น้ำอัดลม ก็สามารถสร้างปัยหาให้กับสมองคนเราไม่มากก็น้อย

6 ทำให้ฟันผุ

น้ำตาล และ โซดา ในน้ำอัดลม คือตัวปัญหาของการเกิดฟันผุ ทั้งน้ำตาลและโซดา สามารถ ก่อให้เกิดความเป็นกรดที่ฟันและ ทำลายสารเคลือบผิวฟัน หรือ อีนาเมล การแปรงฟันก็ไม่สามารถป้องกันได้ เพราะ ความเป็นกรดนี้เกิด ตั้งแต่ที่คนเราเริ่มดื่ม หรือ ภายใน 30นาที ในการดื่มแต่ละครั้ง เมื่อผิวของเนื้อฟันถูกทำลาย อาการเสียวฟัน หรือ ฟันผูก้จะเกิดได้ง่ายขึ้น อีกทั้งน้ำตาลใน น้ำอัดลมยังก่อให้เกิดการสะสมของแบคทีเรีย ในช่องปาก ดังนั้น การดื่มน้ำอัดลมอย่างต่อเนื่อง จึงส่งผลให้เกิดฟันผุและ สุขภาพในช่องปากไม่ดี ตามมา

นพ.วิโรจน์ ตันติโกสุม

ชีวา บางใหญ่ นนทบุรี

ศูนย์พักฟื้นผู้ป่วย และ ผู้สูงอายุ

คลินิกกายภาพบำบัด

ศูนย์ไตเทียม และ ผ่าตัดเส้นฟอกไต

ผ่าตัดเส้นฟอกไต บัตรทอง
ผ่าตัดเส้นฟอกไต
ล้างไตทางหน้าท้อง
ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ
ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ
ศูนย์ดุแลผู้สูงอายุ
ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ
ชีวา
ชีวา
ศูนย์ไตเทียม